พระกับผีหนึ่งคืน
เมื่อไม่นานมานี้ เกิดเหตุการณ์ขึ้นที่ชายแดนไทยกับลาว มีวัดแห่งหนึ่งอยู่กลางป่า มีพระ4 รูป จำวัดกันเพื่อเข้าพรรษา พระเหล่านี้มาจากคนละทิศคนละทาง แต่ร่วมใจกันเพื่อปฏิบัติธรรมในวัดป่าแห่งนี้ โดยวางแผนไว้ได้ประมาณสักเดือนหนึ่งแล้ว แต่พระเหล่านี้ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่ร่วมใจปฏิบัติธรรมในพรรษานี้ เพื่อดูใจตัวเองว่า สุดยอดแค่ไหน และแล้ว พระรูปหนึ่งโดนผีหลอก เหตุการณ์นี้ทำให้ต้องเล่าเรื่องนี้ เพื่อไม่ให้พระหรือโยมโดนผีหลอกอีกต่อไปนี้
เรื่องมีอยู่ว่า พระรูปหนึ่งหล่อมาก เป็นหนุ่มบวชได้ สอง สาม พรรษา แต่ก็บวชเรียนมาตั้งแต่สมัยเป็นเด็ก หลังจบการศึกษาระดับมหาลัยแล้ว คิดในใจว่า ตัวเองมีความรู้ด้านธรรมและทางวิชาอาชีพมากพอสำควณแล้ว แต่ยังไม่มีการเรียนรู้ทางปฏิบัติธรรม จึงหาแนวร่วมไปปฏิบัติธรรมกันในกลางป่า พระรูปนี้รู้จักอาจารย์รูปหนึ่ง อาจารย์ที่รู้จัก แต่งตัวไม่เหมือนพระปกติ ท่านจะแต่งตัวแปลกกว่าพระรูปอื่น ๆนิดนึง แต่การปฏิบัติธรรมในศาสนาเหมือนกับพระรูปอื่น ๆ ทั่วไป พระอาจารย์ส่งข้อความมาทาง Facebook ว่า เราจะกำลังออกไปปฏิบัติธรรมในป่าแห่งหนึ่งแถวอุบล ท่านจะไปกับเราด้วยไหม ไปครั้งนี้มันอันตราย ยากลำบากกันแน่ ๆ แต่ถ้าท่านสนใจก็มาที่อุบลเลย พระรูปหล่อตอบ ตกลงโดยไม่ได้คิดอะไรเลยว่า ในอนาคตชีวิตของพระรูปนี้จะเปลี่ยนไปโดยที่เขาคิดไม่ถึงเลย
ผ่านไปสักสัปดาห์หนึ่ง อาจารย์ก็โทรมาว่า เราต้องเดินทางแล้วนะ ท่านต้องเตรียมพร้อมภายใน 3 วัน พระรูปหล่อก็เตรียมตัวที่จะเดินทาง จึงไปกราบพระอาจารย์ในวัด แล้วเริ่มเดินทางขึ้นรถที่ บขส นั่งรถไปอุบล พระรูปหล่อก็คิดนี่คิดนั่น ตามภาษาคนทั่วไป คิดถึงอดีต คิดถึงอนาคต คิดปัจจุบัน และคิดเรื่องนานาจิตตัง เมื่อถึงอุบล พระรูปหล่อ โทรไปหาอาจารย์ของตน ข้าพเจ้าถึงอุบลแล้ว มีคนมารับไหม อาจารย์ก็ตอบว่าไม่มี ท่านต้องนั่งรถแท็กซี่มาที่วัดแห่งหนึ่ง ที่นั้นจะมีพระมารับ ฟังเท่านั้นพระรูปหล่อก็นั่งแท็กซี่ไปโดยไม่ได้คิดอะไรเลยว่า ตัวเองมีเงินพอจ่ายค่ารถไหม ไปที่ไหนไปหาใครคำถามเหล่านี้ไม่มีในหัวเลย จึงเรียกแท็กซี่แล้วบอกคนแท็กซี่ว่าไปวัดแห่งนี้นะโยมรู้จักหรือเปล่า คนแท็กซี่ก็ ตอบว่ารู้จัก วัดนี้มันไกลมากเลยนะ ท่านจะไปทำไมวัดนี้ วัดนี้ไม่มีพระจำวัด อยู่ในกลางป่า หางจากหมู่บ้านเป็น 10 10 กิโลเมตร
พระรูปหล่อก็ตอบอย่างมันใจ มีอาจารย์ผมจำวัดอยู่ที่นั่น เราต้องไปโยมจะไปไหม คนขับแท็กซี่ก็ตอบว่า ไปเพราะบ้านผมติดกับอำเภอที่นั้น ผมจึงไปแต่ค่ารถเนี่ยแพงนะอาจารย์ ทานจ่ายไหวไหม พระรูปนั้นก็ตอบว่า จ่ายไหวหรือไม่ไหวไม่รู้ ผมมีเงินเหลือแค่พันหนึ่งพอจ่ายได้ไหม คนขับแท็กซี่ก็พูดว่า น่าจะพอได้อยู่ พระรูปหล่อก็พูดขึ้น ถ้าอย่างนั้นเราไปกันเถอะ ไม่อยากเสียเวลาอยู่ที่นี่ คนขับรถกับ พระรูปหล่อออกเดินทาง ระวังที่เดินทางกันอยู่นั้นทั้งสองก็พูดคุยกันเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของทั้งสองฝ่ายว่า ชีวิตเป็นนี้ชีวิตเป็นนั้น ดูวิวไปตามทาง ขับรถเป็นหลายชั่วโมงแล้วแต่ยังไม่ถึงสักที พระรูปหล่อก็ถามว่า อีกนานไหม คนขับรถก็ตอบว่านานอยู่ ประมาณ 2-3 ชั่วโมง เห็นนานก็เลยพระรูปหล่อก็หลับไป ตื่นมาอีกที ก็อยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง แป๊บเดี๋ยว คนขับรถก็เปลี่ยนเส้นทาง ขับรถไปตามป่า พระรูปหล่อเริ่มกลัวในใจ คนนี้ขับรถถูกเส้นทางหรือเปล่า หรือว่าคนนี้คิดจะทำลายเราหรือเปล่า คิดในใจอยู่เรื่อย ๆ ขับไปได้สักพักเห็นกระท่อมเล็ก ๆ มีคนกำลังทำสวนหมันอยู่ เห็นคนเท่านั้นและมันใจว่าคนนี้ขับรถมาถูกทางแล้ว เราไม่ต้องกลัวอะไร
คนขับรถพูดดังขึ้น อาจารย์ถึงแล้วนะ เตรียมค่ารถเลยเพราะผมต้องรีบ พระรูปหล่อ ถามว่าเท่าไหร่ คนขับรถก็ตอบว่า 1200พอดี พระมองกระเป๋าตนเองมีเงินอยู่แค่ใบ1000 จึงบอกคนขับรถรอสักครูเดี๋ยวผมไปเอามาให้อีก 200 คนขับรถรีบ ๆ ก้เลย ตอบไปว่าไม่เป็นไรถือซะว่าทำบุญกับท่านแล้วกัน พระรูปนั้นรีบตอบเลย เจริญพร เดินไปดูรอบ ๆ มีแต่ก้อนหินใหญ่ ๆ มีต้นหมันเต็มไปหมด ทันใดนั้นมีคนมาหา ท่านมาจากกรุงเทพหรือเปล่า พระรูปหล่อก็ตอบทันที่ ใช่ มาจากกรุงเทพ ครับ แล้วอาจารย์อยู่ไหนล่ะครับ โยมคนนั้นตอบว่า อาจารย์รอท่านอยู่ที่กุฏิ รีบไปหาเลย เดี๋ยวโยมจะพาไป
เดินไป สักพัก เห็นอาจารย์กำลังพับจีวรอยู่เลย พระรูปหล่อ รีบกมกราบท่าน ไม่ได้เห็นอาจารย์มานาน ดีใจมากเลย อาจารย์ก็พูดว่า ท่านเดินทางมาไกล ไปพักผ่อนที่กุฎี เดี๋ยวช่วงเวลาทำวัตรเย็น เราจะปรึกษากันเกี่ยวกับการจำพรรษาปีนี้นะ ตอนนี้ไปพักผ่อนก่อน เข้ากุฏิแล้วพระรูปหล่อนอนหลับแบบไม่รู้ตัวเพราะเดินทางมาทั้งวันและคืน ตกตอนเย็น พระในวัดเริ่มออกมาทำวัตรเย็นกัน เห็นกันอยู่แค่ 4 รูปในนั้น พระรูปหล่อด้วย พระ 4 รูปเหล่านี้มี แต่หนุ่ม ๆ ทั้งนั้น รูปที่มีอายุมากที่สุด ก็คงเป็นท่านอาจารย์ น่าจะอายุประมาณ 30 ต้น ๆ เวลาทำวัตรไปไม่มีไฟฟ้า จึงจุดเทียน แต่ก็มองไม่เห็นอยู่ดี เพราะมันมืดมาก รอบ ๆ มีแต่ต้นไม้สูง ๆ หลังจากทำวัตรเสร็จ อาจารย์ก็พูดต่อ พรุ่งนี้เข้าพรรษา เราต้องจำวัดในวัดแห่งเดียวกันตลอดพรรษา ต้องปฏิบัติธรรม ต้องทำศาสนกิจให้ได้สมบูรณ์แบบในพรรษานี้ แต่เรายังไม่มีวัดที่จะจำพรรษาในฤดูนี้ ฉะนั้นคืนนี้ทุกรูป เตรียมตัวให้พร้อม เพื่อเข้าพรรษาในพรุ่งนี้ พรุ่งนี้เช้าจะมีคนมารับเรา ไปจำพรรษาอยู่ในวัดแห่งหนึ่ง ในกลางป่า ป่าแห่งนี้ มีสัตว์มากมายโดยเฉพาะงู หางจากหมู่บ้านใกล้ที่สุดประมาณ 10 กิโล ฉะนั้นเราต้องดูแลกันเอง กว่าจะมีคนมาช่วยเหลือคงยาก มีอะไรก็บอกกัน มีรูปไหนมีคำถามอีกไหม ตอนนั้นไม่มีใครตอบเลย จึงแยกแยะกันไปนอน
นอนอยู่ดี ๆ มีคนมาเรียก ท่านอาจารย์ตื่น ๆ มืดแบบนี้ใครมาเรียก อาจารย์เอง ตื่นได้แล้ว เราต้องเดินทางแล้วนะ พระรูปหล่อจำเสียงเรียกของอาจารย์ตัวเองได้ จึงรีบตื่น แต่งตัว ออกจากกุฏิ เห็นไฟรถก็รีบวิ่งไปขึ้นรถ ทุกรูปขึ้นรถแล้วเดินทางต่อ ระวังทางมันมืดอยู่ก็เลยหลับต่อ รถขับไปเรื่อย ๆ พระอาทิตย์ก็เริ่มสว่างขึ้นเรื่อย ๆ ทุกรูปก็ตื่น แล้วเริ่มพูดคุยกัน ท่านมาจากไหน ชื่ออะไร ได้กี่พรรษาพระรูปหล่อพูดคุยตามพอสมควร แต่อาจารย์ไม่คุยเลยสักคำ ท่านก็หลับตาไม่คุยเลย พูดคุยกันแล้วเงียบไป เพราะต่างคนต่างยังไม่รู้จักกันพอดี ระวังเดินทาง ฉันอาหารในบนรถ มีมาม่าเป็นอาหาร ฉันข้าวได้สักพักฝนก็เริ่มตก ตอนแรกฝนตกไม่หนัก แต่สักครูฝนตกหนักขึ้น หนักขึ้นอีก ไม่เห็นทิศทางจะหยุดเลย ฝนมันเริ่มเป็นพายุแล้วคนในรถถึงต้องจอดรถ จอดได้สักพักฝนก็หยุดแล้วเริ่มเดินทางต่อ ฝนตกหนักมาก จึงทำให้ถนนมีแต่ขี้โคลนและน้ำ รถติดลุ่มบาง ขับไปขับมารถก็ เริ่มควบคุมยากมากขึ้น แต่เราต้องเดินทางต่อไป เพราะวันนี้เป็นวันเข้าพรรษา ต้องถึงวัดให้ได้เร็วที่สุด เพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ก็เลยคนขับรถไปเรื่อย ๆ คนขับรถเริ่มพูดว่า เราใกล้จะถึงแล้ว หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านสุดท้ายแล้ว จากนี้ไปเราต้องใช้ขับรถอีกสัก 8-9 กิโลเมตรจะถึงวัด ในที่สุด พระเหล่านี้ถึงวัดที่จะจำพรรษในฤดูนี้ รถวิ่งมาจอดตรงหน้าศาลาหลังหนึ่ง ใกล้ ๆ ศาลามีต้นกระบกต้นหนึ่ง ทำเป็นศาลานั่งเล่น รอบ ๆ ต้นบกทำจากแผนไม้เก่า ๆ มีปล่วกกินกันบ้างแล้ว แต่ก็นั่งเล่นกันได้อยู่ มองจากจุดที่ยืน เห็นแต่ศาลาอย่างอื่นไม่เห็นเลยเพราะต้นไม้บ้างไปหมด
อาจารย์ถามขึ้นว่า มีกุฎีให้พระอยู่ไหม โยมขับรถก็ตอบ มีแต่ต้องเข้าไปขางในป่าลึกนิดนึง จะมีกุฎีอยู่ 3หลัง อยู่ที่สามทิศ จะพาไปดู เดินไปสักพักเห็นกุฎีไม้มีรูอยู่ทั้งรอบ ๆ กุฏี บงรูก็เล็ก ๆ บังรู้ก็ใหญ่ จนน่าจะหมาแมวเข้าไปได้สบาย บังรู้ใหญ่มากจนเอาแผนไม้ตอกตะปูไว้ คนขับรถก็พาไปดูกุฏิแล้ว บอกอำลา มันจะสายถ้าอยู่นาน ต้องรีบออกแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้จะพาชาวบ้านมาทำบุญ วันนี้ต้องกราบลา หลังจากคนขับรถไปแล้วเราก็เริ่มทำความสะอาดที่ศาลาก่อน ที่ศาลา เต็มไปด้วย หยากไย่แมงมุมทุกทิศทุกทาง พระทั้ง 4 รูปรวมกันทำความสะอาดรอบรอบศาลาและภายในศาลา เห็นเขาของที่เก็บไว้ในวัดเอามาใช้บ้าง แต่ละรูปก็เอาหมอนอิฐ เอาเสื้อปูที่นอน อาจารย์ก็แบ่งกุฎีให้แต่ละรูปว่า พระรูปนี้อยู่กุฎีนี่ พระรูปนั้นอยู่กุฎีนั้น พระรูปสุดท้ายก็ได้จำที่ศาลาในตลอดพรรษานี้ เพราะกุฏีไม่พอ ตกเย็นอยู่แล้วก็ร่วมกันทำวัตรเย็น ทำอธิษฐานเข้าพรรษากันอย่างรีบ ๆเพราะไฟฟ้าไม่มีในวัด พระทุกรูปเหนื่อยกันเพราะเดินทางมานานก็เลยเข้ากุฎีจำวัตรกันในคืนนั้น
หลังจากทำวัตรกันเสร็จ พระรูปหล่อเข้ากุฏีเพื่อจำวัด กุฎีไม่มีไฟฟ้า เปิดไฟโทรศัพท์เพื่อปูที่นอน พระรูปหล่อนอนไม่หลับเพราะก่อนหน้านั้น จำวัดอยู่กรุงเทพ ทุกอย่างพร้อมสุขสบายรอบตัว สะอาดสะอ้านน่าอยู่ แต่กุฎีหลังนี้ตรงข้ามกับกุฎีที่กรุงเทพมาก แมลงเต็มไปหมด เสียยุงก็บินรอบ ๆ ที่นอน พยายามนั่งสมาธิเพื่อเข้านอน แต่มันนอนไม่หลับ จึงเอายาเส้นที่พระเพื่อนมาด้วยกันให้ตอนอยู่บนรถ เอามาม้วนเพื่อสูบให้นอนหลับ สูบไปสักตัวนึง ก็เข้านอนก็นอนหลับไปสักพัก พระก็ตื่นทันที่เหมือนมีแมลงเข้าข้างในสบงพระ จึงรีบตื่นเพื่อที่จะดูว่าอะไรเข้าไปข้างใน แต่มันมืดก็เลยมองไม่เห็น พยายามนอนต่ออีกครั้งแต่นอนไม่หลับเพราะยุงบินอยู่ สักพักหนึ่งได้ยินเสียงเหมือนมีคนมาเคาะประตู ก็เดินไปดูแต่ไม่มีอะไรกลับมานอนต่อ พระนอนไม่หลับพยายามจะทำสมาธิเพื่อเข้านอนอีกครั้ง อยู่ดีๆ ก็มีเสียงร้องเหมือนผู้หญิงดังขึ้นจากบนหลังคาของกุฎี พระก็ตกใจ คิดในใจว่า เราเนี่ยโดนผีหลอกแล้ว จะทำไงดี ยิ่งกลัวผีซะด้วย พระก็เริ่มสวดมนต์ในใจ สักครู่เสียงนั้นก็หายไป เห็นเสียงมันหายไปก็ คิดไปว่า เราสวดมนต์ดีด้วยบุญกุศลของการสวด ผีคงได้รับบุญ จงหายไปคิดแบบนี้แล้วก็นอนต่อ นอนได้ครู่หนึ่งก็มีเสียงอีกเสียงครางนี้เป็นเสียงเคาะประตูอีก การเคาะประตูเนี่ยเสียงดังกว่าครั้งที่แล้ว พระก็เริ่มสวดอย่างรั้ว ๆ อีกเพื่อไม่ให้ผีมารบกวน สวดจบพุทธคูณไม่มีเสียง ก็เข้านอน จะนอนอยู่แล้ว มีเสียงผู้หญิงร้องอี ตอนนี้เสียงร้องดัง น่ากลัวกว่าครั้งที่แล้ว พระกลัวมากจนทำอะไรไม่ถูก จะวิ่งไปหาอาจารย์ก็มืดมองไม่เห็นอะไร ถ้าจะตะโกนเรียกอาจารย์ พระเพื่อนด้วยกัน ก็คงไม่ได้ยินเพราะมันไกลมาก พระกลัวมากจนเหงื่อแตกทั้งตัวไม่รู้จะทำอะไร ได้แต่ปิดตาฟังเสียงผู้หญิงร้องและเสียงเคาะประตูไปเรื่อย ๆ พระกลัวมากไม่รู้จะเอายังไงดี คิดในใจว่าเราจะให้ผีหลอกก็หลอกไปเถอะ กลัวอยู่แบบนั้นจนหลับไปเอง นอนได้สักพักมีอะไรเย็น ๆ สัมผัสตรงขา พระก็ตกใจตื่น รวบรวมสติเปิดไฟโทรศัพท์แต่มองไม่เห็นอะไร แบ็ตในโทรศัพท์ก็ใกล้จะหมดแล้วเต็มที่ ตอนนั้นคิดได้ว่ามีไฟแช็คอยู่ จุดไฟแช็คต่อ เพื่อไปดูรอบ ๆ กุฎี ว่ามีอะไร แต่ก็มองไม่มีอะไรมีแต่ความมืดมนต์
เหตุการณ์แบบนี้ทำให้พระนอนไม่หลับ หลับตาแล้วได้สวดภาวนาไปเรื่อย ๆ อยู่ดี ๆ ก็มีเสียงร้องของผู้หญิงดังขึ้นดังขึ้น ครั้งนี้เสียงเหมือนผู้หญิงร้องด้วยความเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน ร้องไม่หยุด ร้องอยู่เรื่อยไป ความตกใจไม่มีขีดจำกัดแล้ว สักครู่เสียงก็เงียบไปอีกครั้ง เสียงร้องมันดังมาจากบนหลังคา พระหวังให้เสียงนั้นไม่เข้ามาในห้อง สักพักเสียงก็ดังขึ้นอีก ตกใจนั้นเหมือนกับทำหัวใจจะแตกสะลาย หัวใจจะล้มเหลวอยู่แล้ว แต่เสียงครั้งนี้เป็นเสียงโทรศัพท์ที่ใกล้จะดับ เสียงโทรศัพท์นั้นทำให้พระเกือบตาย เข้าใจว่าไม่ใช่พี่หรอก พระพยายามเข้านอนอีกครั้ง ก็มีเสียงดังขึ้นที่ตรงหน้าประตูอีกครั้ง คืนนั้นมีแต่เสียงร้องของผู้หญิงกับเสียงเคาะประตูอยู่เรื่อย ๆ จนนอนไม่หลับ เหมือนพระกับผีกำลังเล่นแอบซ่อนหากันอยู่ จนทั้งคืน เดี๋ยวสักพักก็เคาะประตู เดี๋ยวก็มีเสียงร้องอยู่แบบนี้ทั้งคืน จะวิ่งไปหาพระรูปอื่น ก็มันมืดมองไม่เห็น กลัวเจอผีตรงหน้า แทมผีหลอกอยู่เรื่อย ๆ ตอนนั้นคิดไปว่าคืนนี้เป็นคงจะเป็นคืนสุดท้าย บนโลกนี้เราคงจะตายแน่ นึกถึงพ่อแม่พี่น้องครูบาอาจารย์เพื่อน ๆ เรามาทำอะไรที่นี่ มาหาที่ตายแท้ ๆ ไม่น่ามาเลย อยู่กรุงเทพ สบายอยู่แล้ว นั่งสมาธิปฏิบัติธรรมที่นั่นก็ได้อยู่แล้ว เราไม่น่ามาเลยคิดในใจ มีแต่ความน่ากลัว ตกใจจนขนลุกทั้งตัว อยู่แบบนี้แล้วจะปฏิบัติธรรมได้หรือ เราน่าจะกลับดีกว่าพรุ่งนี้ ไม่งั้นก็ไปร่วมห้องด้วยกันกับพระรูปอื่นอาจจะดีกว่านี้ กุฎีนี้อยู่ยากเหลือเกิน ขอให้คืนนี้ผ่านไปแค่นั้นก็พอใจแล้วในตอนนี้ คืนนั้นทั้งคืนมีเสียงร้องมีคนมาเคาะประตูอยู่เรื่อย ๆ จน เริ่มเบื่อ กลัว พระก็เลยรวบรวมกำลังใจ จะเปิดประตูสักครั้ง ให้ดูว่าข้างนอกมีอะไร จนในที่สุดเดินเบา ๆ ไปที่ประตู เปิดประตูได้นิดนึง ข้างนอกนั้นมันมืดมองไม่เห็นอะไร ลมหนาวเย็นพัดไปพัดมา ทำให้กิ่งต้นไม้ชนกัน ก่อให้เกิดเสียง กลับมาปิดประตูห้องต่อ คืนนี้จะผ่านไปกับความกลัว จึงเอายาเส้นมาม่วนเพื่อให้หายความกลัวจากใจ สูบได้สักพัก เสียงหอระฆังก็ดังขึ้น แป๊ง ๆ ๆ ได้ยินเสียงระฆังดัง เท่านั้น ความดีใจถึงสุดขีด ความดีใจนั้นเหมือนเอาปลายหนามดอกกุหลาบที่แทงอยู่ในหลัง จะเอาออกก็มือเราไม่ถึง มีคนมาออกให้โดยที่ไม่ต้องบอก คิดไปจะวิ่งไปจูบพระรูปนั้น พระรีบโหมจีวรถือบาตร วิ่งไปหาพระที่อยู่ศาลา เสียงนั้นมากจากตรงนั้นพอดี ตอนนั้นไม่สนแล้วจะมืดหรือสว่าง วิ่งเหมือนเสือดาว ที่กำลังล่าสัตว์เพื่อเป็นอาหาร เห็นใบหน้าพระกลางแสงเทียน ก็สบายใจมากขึ้น เหมือนมีคนช่วยให้ออกจากหลุมนรกแท้ ๆ ตอนนั้นไม่พูดอะไร เดียวก็หาว่า เป็นพระแล้วกลัวผี เงียบดีกว่า ทุกรูปก็ออกมาร่วมตัวเพื่อจะออกบิณฑบาต แต่ในใจอยากเหล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ทุกรูปได้ฟัง ระวังทางมีแต่น้ำขางกับขี้โคลนเติมไปหมด แต่มันไม่ใช้ปัญหาใหญ่เปรียบเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมือคืน
ไปบิณฑบาตกลับถึงวัดก็เห็นชาวบ้านมากันหลายคน นั่งรอใส่บาตร รับบาตรเสร็จแล้วร่วมฉันอาหาร สวดมนตร์ให้ญาติโยมฟัง เห็นได้เวลาว่างก็มานั่งพักผ่อนที่ศาลาใต้ต้นบก พระรูปหล่อไม่ได้นอนทั้งคืน จึงดูอ่อนเพลีย ไม่มีเรียวแรง ญาติโยมก็มาขอคุยด้วย ก็มานั่งคุยกันตามภาษาคนเล่นห่วย โยมสนใจเรื่องแบบนี้เป็นพิเศษ โยมแก่ ๆ พูดขึ้นว่า กุฎีหลังเก่าตรงโน้น พระรูปไหนจำวัด
พระรูปหล่อตอนโดยเสียงเบา ๆ อัตตมาเอง โยมก็ถามอีกว่า ท่านเห็นอะไรไหม พระยังไม่หายความเหนื่อยจากเมือคืน ก็ตอบไปว่า ไม่เห็นอะไร ทำไมหรือ มีอะไรหรือเปล่า โยมก็พูดอย่างมันใจ กุฎีโน้นเหียนที่สุดในวัด ไม่มีพระรูปไหนนอนได้ถึง๑คืน กุฎีนั้นสร้างจากต้นบก ต้นที่ผู้หญิงในหมู่บ้านคเวนคอตาย เท่านั้นแล พระก็ยิ่งตกใจ โยมถามอีกต่อ ท่านไม่เห็นอะไรแน่นะ พระก็ตอนว่าไม่เห็น แต่รู้ในใจรู้ ๆ กันอยู่ ว่าเมือคืนเกิดอะไรขึ้น โยมถามอีก ท่านไม่ฝันเห็นเลขหรือ ไม่เห็นพระก็ตอบ งั้นถ้าเห็นบอกโยมด้วยนะ โยมจะทำบุญให้ยิ่งใหญ่ไปเลย พระก็ตอนว่า ถ้าเห็นจะบอกให้โยม เป็นคนแรกเลย
พูดคุยกับญาติโยมได้สักพัด คนในหมู่บ้านพากันกราบลากันไปทำไรทำน่า เราก็นั่งพักความเหนื่อยจากเมื่อคืนอยู่ สักพักพระหนุ่มก็นอนหลับใต้ต้นกระบกนั้น นอนได้สักครู่ ก็มีเสียเหมือนเมือคืน มีเสียงคลายคนเคาะประตู พระเปิดตาดูรอบต้นไม้ มีผลของต้นกระบกเต็มไปหมด ส่วนใหญ่ผลมันสุกเต็มที่ จนเปลี่ยนสี่เป็นสีเหลือง เมือลมพัดเบา ๆ ผลมันตกใส่แผนไม้ที่ทำเป็นศาลานั่งเล่น มันทำให้เกิดเสียงเหมือนเคาะประตู ลมพัดแรง ๆ ผลมันก็ตกมากขึ้นไปอีก ทำให้เสียงดังมากขึ้นไปอีก เห็นเท่านั้นและ เกิดความรู้ความเข้าใจขึ้นมาทันที่ทันใด เมือคืนนั้นไม่ใช้ผีมาหลอก แต่เป็นผลของไต้กระบกตั้งหาก ตอนคืนเสียงมันจะดังขึ้นมากกว่านี้เพราะไม่มีเสียงรบก่วน รู้เท่านี้ยังไม่พอ มีเสียงเหมือนผู้หญิงร้องละ มาจากไหน พระก็เดินไปดูรอบ ๆ กุฎี ไม่เห็นมีอะไร แต่เสียงนั้นมาจากบนหลังคาของกุฎี จึงปีนไปดู มันมีแผนสังกาสีเก่า ๆ ตะอกตะปูไว้ไม่ให้ฝนเข้ากุฎี แผนสังกาสีนั้นสะนิมกินกันบางส่วนไป ตะปูที่ตะอกไว้ก็หลุดออกกัน เมือลมพัดแรง ๆ รูในสังกาสีออกเสียงเหมือนผู้หญิงร้อง เข้าใจเท่านั้นและ ความกลัวหายไปทันทีแล้วเสียงจากใจ ออกมา ว่า อวิชชา อวิชชา อวิชชา แท้ ๆ ความไม่รู้ เป็นเหตุ ทำให้เราโง่อยู่ไปกันทั้งคืน ความทุกข์ทรมานไปทั้งคืน คิดนี้คิดนั้นไป ปล่อยให้ใจสร้างจินตนาการเพิ่มเติม ยิ่งทำให้กลัวจนไม่กล้าแม้แต่ออกจากกุฎี เพื่อเปิดประตูมาดูสักครั้งว่า รอบ ๆ กุฎีมีอะไร เสียงนั้นแท้จริงมาจากไหน มัวแต่กลัวอยู่ ไม่พยายามหาสาเหตุของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็คงโดนผีหลอกไปจนตลอดชีวิต เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้พระรูปนั้นไม่เคยกลัวพวกผีปีศาจ อีกต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น